ประเทศอิตาลี (Italy) ประเทศในฝันที่หลายๆ คนอยากจะไปเที่ยวสักครั้งในชีวิต คุณสามารถพบแหล่งอารยธรรมโบราณมากมายกระจายอยู่ทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ บางเมืองเคยถูกจัดให้เป็นเมืองสวยที่สุดของยุโรปมาแล้ว สำหรับคนที่รักความคลาสสิคแบบยุโรป แน่นอนว่าคนๆนั้นต้องรักประเทศนี้แน่นอน รูปร่างของประเทศอิตาลีคล้ายรูปรองเท้ายาวจากเหนือไปใต้ทำให้ภูมิประเทศและภูมิอากาศมีความหลากหลายมากทีเดียว
ตอนสมัยเด็กๆ
จำได้เวลาครูพูดถึงประเทศอิตาลีผมจะนึกถึงหอเอนเมืองปิซาเป็นที่แรก
เพราะความมหัศจรรย์ของหอที่ตั้งเอนต้านแรงโน้มถ่วงของโลกมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
ในทริปนี้ผมมีโอกาสได้มาเยือนที่นี่เลยอยากเล่าเรื่องดีๆ ของเมืองนี้ให้ฟังครับ
วันนี้ผมมาที่ปิซาไม่ได้ค้างคืนเพราะผมพักที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) และนั่งรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง
การเดินทางรถไฟที่อิตาลีค่อนข้างสะดวกสบายครับ ผมมีแค่เป้ใบเดียวและกล้อง 1
ตัวและโทรศัพท์สมาร์ทโฟน 1 เครื่องแค่นั้นเอง
บังเอิญระหว่างนั่งรถไฟมาที่เมืองนี้เจอน้องคนไทย
2 คนเป็นแฟนกัน น้องผู้หญิงเพิ่งเริ่มมาเรียนปริญญาโทเกี่ยวกับการจัดการที่ประเทศอังกฤษ (หลักสูตร
1 ปี) น่าจะใกล้จบแล้วส่วนน้องผู้ชายทำงานอยู่ที่เมืองไทยครั้งนี้ทั้งคู่วางแผนเดินทางมาเจอกันที่ประเทศเยอรมันและวางแผนจะเดินทางท่องเที่ยวหลายเมืองในหลายประเทศในกลุ่มประเทศเชงเก้น (Schengen
area) ทำให้มีสัมภาระมากมาย
เห็นบอกว่าเกือบโดนขโมยกระเป๋า (เผลอหลับทั้งคู่) ระหว่างเดินทางจากเยอรมันมาเมืองฟรอเรนซ์ในรถไฟขบวนนั้น
ผมเลยบอกว่านั่นแหละเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากเดินทางพร้อมสัมภาระมากมาย
เวลาเดินทางไปเที่ยวคนเดียวผมชอบที่พักในเมืองใดเมืองหนึ่งและใช้ระบบรถขนส่งสาธารณะเที่ยวในเมืองใกล้เคียงแทนก่อนจะย้ายไปเมืองอื่นๆ
เพราะหลายเมืองในยุโรปโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมักมีพวกมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่มากมาย
และนักท่องเที่ยวชาวเอเชียส่วนใหญ่มักจะเป็นเป้าหมายของเหล่ามิจจาชีพเสียด้วยซิ
เพราะปกตินักท่องเที่ยวเหล่านั้นมักจะพักเงินสดในการใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยว
ผมโชคดีหน่อยที่ปกติใช้บัตรเครดิต (ภาวนาอย่าให้หายนะ 5555) เนื่องจากผมเรียนที่สวีเดน
ประเทศที่ใช้บัตรเครดิตซื้อของทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ
แทบไม่เคยจับเงินสดเลยจริงๆ นะ
กลับมาเรื่องเดินทางต่อแล้วกันผมออกเดินทางตอนเช้าจากสถานีรถไฟที่เมืองฟรอเรนซ์ (Florence คือชื่อเมืองในภาษาอังฤกษแต่ถ้าคนอิตาเลียนจะเรียกเมืองนี้ว่า Firenze) ชุมทางรถไฟที่นี่ค่อนข้างใหญ่มาก
ผมคิดว่าน่าจะเป็นชุมทางที่สำคัญและหนาแน่นมากแห่งหนึ่งของอิตาลี คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมากแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว
จริงๆแล้วไม่ว่าจะฤดูไหนก็ตามผมคิดว่าอิตาลีก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่ดี
รถไฟที่ใช้เดินทางเที่ยวนี้เป็นรถไฟสองชั้น
ตอนแรกที่เช็คตารางรถไฟจากจอที่สถานีรถไฟก็ดูงงๆ
เพราะตารางเดินรถไฟแน่นเสียจนหายหมายเลขขบวนไม่เจอและที่สำคัญเมื่อรู้หมายเลขขบวนรถแล้วก็หาชานชลาไม่เจอเพราะชานชลารถไฟที่จะเดินทางไปเมืองปิซาไปหลบอยู่ด้านในสุดของสถานี (เป็นชานชลาเก่าก่อนที่สถานีจะสร้างส่วนขยายออกไปอีกด้านหนึ่ง) ผมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีเมืองปิซา
พอถึงสถานีที่นั่นสิ่งแรกที่ทำคือหาแผนที่
ปกติเมืองท่องเที่ยวเค้าจะมีแผนที่ฟรีให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ
เดินทางสถานีไปยังหอเอนใช้เวลาไม่นานครับประมาณ 30 นาทีมั้งถ้าจำไม่ผิด
ในพื้นที่บริเวณหอเอนและโบสถ์นั้นถูกจัดการโดยเมืองและรัฐบาลค่อนข้างดีครับ
พื้นที่โดยรอบก็สะอาดสะอ้านแต่นักท่องเที่ยวเยอะมากจริงๆ
ทำให้ไม่ได้ภาพที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักภาพ แต่โดยรวมแล้วไม่ผิดหวังที่มาครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองปิซา
ปิซา (Pisa)
เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในอิตาลีตอนกลางในแคว้นทัสคานี (Tuscany)
(แคว้นทัสคานีเป็น 1 ใน 20 แคว้นของอิตาลี เมืองหลวงของแคว้นคือเมืองฟรอเรนซ์ หรือ Florence) เมืองปิซาเป็นเมืองหลวงของจังหวัดปิซา (the
Province of Pisa) ซึ่งเป็น 1 ใน 9 จังหวัดของแคว้นทัสคานีครับ
เมืองนี้มีแม่น้ำอาร์โน (The
River Arno) ไหลผ่านกลางเมืองก่อนจะไหลลงสู่ทะเลไทรีเนียน (The Tyrrhenian Sea)
แม้ว่าปิซาจะเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกว่าเป็นที่ตั้งของหอเอนเมืองปิซา (The Leaning Tower of Pisa) ซึ่งเป็นหอระฆังของมหาวิหารเมืองปิซา (The bell tower of the city's cathedral) แต่จริงๆ แล้วเมืองนี้ยังมีโบสถ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ มากว่า
20 โบสถ์ พระราชวังที่สร้างในยุคกลางหลายแห่ง
รวมถึงสะพานข้ามแม่น้ำอาร์โนอีกหลายแห่ง ในปีหนึ่งๆ รัฐบาลอิตาลีได้ใช้เงินจำนวนไม่น้อยเพื่อธำนุบำรุงอาคารสถาปัตยกรรมหลายแห่งของเมืองให้อยู่ในสภาพเดิม
เมืองปิซาเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากครับมีประชากรราว 89,940 คน (หรือประมาณ 200,000
คนในพื้นที่นครบาล) และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยปิซา (TheUniversity of Pisa) กับอีก 2 สถาบันด้านการศึกษาและด้านวิจัยของเมืองอิตาลีคือ Scuola
Normale Superiore di Pisa และ Sant'Anna
School of Advanced Studies สถาบันทั้ง 3
แห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12
มหาวิหารปิซา (Pisa
cathedral) ทางด้านหลังและหอเอนปิซาที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้า
กำแพงเมืองปิซาที่สร้างตั้งแต่ปี
1156
ที่มา: Pisa
No comments:
Post a Comment