Tuesday, August 23, 2016

กรุงเวียนนา (Vienna) เมืองแห่งดนตรีและความฝัน (The City of Music and Dreams) (20-21 June 2013)



เวียนนา (Vienna = ภาษาอังกฤษ) หรือเวียน (Wien = ภาษาเยอรมัน) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรีย และเวียนนายังมีฐานะเป็นรัฐ 1 รัฐจากทั้งหมด 9 รัฐ (States) ของออสเตรีย มีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองราว 1.8 ล้านคน หรืออาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ปริมณฑล (Metropolitan Area) ราว 2.6 ล้านคน (ข้อมูลปี ค.. 2008) ซึ่งคิดเป็นจำนวนเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ เวียนนาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของออสเตรีย เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 7 ของสหภาพยุโรปหรืออียู (The European Union: EU) เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 กรุงเวียนนาเป็นเมืองที่มีคนพูดภาษาเยอรมันมากที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นเมืองที่มีคนพูดภาษาเยอรมันมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเบอลินของประเทศเยอรมัน เวียนนาเป็นที่ตั้งของหน่อยงานระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่งเช่น องค์การสหประชาชาติ (The United Nations) และโอเปก (OPEC) เป็นต้น

ตำแหน่งที่ตั้ง
รัฐเวียนนาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศออสเตรียใกล้กับชายแดนของประเทศสาธารณรัฐเช็ก (The Czech Republic) สโลวาเกีย (Slovakia) และฮังการี (Hungary) พื้นที่ชายแดนที่ติดต่อกันใน 4 ประเทศนี้รวมเรียกว่า European Centrope border region ซึ่งเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหภาพยุโรปหรืออียู หากคิดรวมจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเมืองบราติสลาวา (Bratislava) เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกียแล้ว จะทำให้กรุงเวียนกลายเป็นเขตปริมณฑล (Cosmopolitan Area) ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 3 ล้านคนเลยทีเดียว

ชื่อเสียงของกรุงเวียนนา
ใจกลางกรุงเวียนนาซึ่งเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 กรุงเวียนนานอกจากจะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านดนตรี (The City of Music) แล้วเมืองหลวงแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ว่าเป็นเมืองแห่งความฝัน (The City of Dreams) เพราะเป็นบ้านเกิดของจิตแพทย์ชื่อเสียงก้องโลกนามว่าซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้ซึ่งได้นำวิธีการสะกดจิตมาใช้รักษาคนไข้ทางจิต

ประวัติศาสตร์
ชาวเซลติก (Celtic) และชาวโรมัน (Roman) เป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของกรุงเวียนนา ณ ปัจจุบัน เมืองได้พัฒนาและเจริญก้าวหน้าเข้าสู่ยุคกลาง (Medieval) ในช่วงศตวรรษที่ 5 ถึง 15 และยุคบารอค (Baroque) ในช่วงศตวรรษที่ 16 จากนั้นเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (The Austro-Hungarian Empire) ในช่วงปี ค.ศ. 1867-1918 กรุงเวียนนามีบทบาทสำคัญในแง่เป็นศูนย์กลางของการดนตรีของยุโรปตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของดนตรีคลาสสิคตามแบบฉบับเวียนนา (The great age of Viennese Classicism) จนถึงช่วงแรกของศตวรรษที่ 20 ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเวียนนามีรูปภาพสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นงดงาม ไม่ว่าจะเป็นปราสาทแนวบารอค การจัดสวนแบบบารอค ถนนวงแหวนแห่งปลายศตวรรษที่ 19 (The late-19th-century Ringstraße) ที่มีอาคารที่ดูโอ่โถงเรียงรายสองข้างทาง อนุเสาวรีย์ และสวนสาธารณะต่างๆ เป็นต้น

ข้อมูลอื่นๆ ของเวียนนา
-จากการสำรวจ 127 เมืองใหญ่จากทั่วโลกในปี ค.ศ. 2005 โดย The Economist Intelligence Unit จัดให้เมืองเวียนนาเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด (The world's most livable cities) อันดับหนึ่งของโลกร่วมกับเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ของประเทศแคนาดาและเมืองซานฟรานซิสโก (San Francisco) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
-ปี ค.ศ. 2011-2015 เวียนนาได้ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับ 2 ของโลกรองจากเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) ของออสเตรเลีย
-จากปี ค.ศ. 2009-2015 เจ็ดปีติดต่อกัน เมืองเวียนนาได้รับการจัดอันดับจาก Mercer ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ได้อยู่ในอันดับหนึ่งของโลกเกี่ยวกับคุณภาพการใช้ชีวิตประจำปี "Quality of Living" survey จากการสอบถามจากคนทั่วโลกจำนวนหลายร้อยคน
-จากข้อมูลของ Monocle's 2015 เกี่ยวกับคุณภาพการใช้ชีวิต (Quality of Life Survey) จัดอันดับให้เวียนนาเป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับสองของโลกจากจำนวน 25 เมืองยอดนิยมทั่วโลกรองจากกรุงโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น
-ข้อมูลของ The UN-Habitat ได้จัดอันดับกรุงเวียนนาเป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดของโลก (The most prosperous city in the world) ในปี ค.ศ. 2012/2013
-กรุงเวียนนาได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับ 1 ในปี ค.ศ. 2007 และ 2008 และอันดับ 6 ในปี ค.ศ. 2014 ของโลกสำหรับเมืองแห่งนวัตกรรม (จากจำนวน 256 เมืองทั่วโลก) โดยใช้ตัวชี้วัดจำนวน 162 ตัวชี้วัดครอบคลุม 3 ด้าน คือ ด้านวัฒนธรรม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และด้านการตลาด
-กรุงเวียนนาได้ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมเกี่ยวกับการวางแผนผังเมืองและถูกใช้เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการวางแผนผังเมืองจำนวนหลายครั้ง
-กรุงเวียนน่าเป็นเมืองยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกสำหรับการจัดการประชุมระดับนานาชาติระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2010 และในแต่ละปีสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 3.7 ล้านคน

ที่มา: Vienna
แวะเยี่ยมเพื่อนเก่าที่เมืองเวียนนา (อาลีและเปิ้ล) จำได้ว่าล่าสุดที่เจอกันคือตอนอยู่ที่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนตอนงานรับปริญญาเมื่อปี ค.ศ. 2007
(ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ค.ศ. 2013)
The Kunsthistorisches Museum หรือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ (Museum of Art History หรือ Museum of Fine Arts) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรีย อาคารตรงกลางมีหลังคาโดมรูปแปดเหลี่ยม (Octagonal dome) และอาคารที่ตั้งอยู่ตรงข้ามคือพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ณ กรุงเวียนนา (The Vienna Museum of Natural History หรือที่ในภาษาเยอรมันเรียกว่า Naturhistorisches Museum Wien) หรือที่อักษรย่อคือ The NHMW โดยทั้งสองอาคารมีจัตุรัส Maria-Theresien-Platz ขั้นอยู่ตรงกลาง 
พระราชวังฮอฟเบอร์ก (Hofburg Palace) ในอดีตใช้เป็นที่ประทับฤดูหนาวของกษัตริย์แห่งราชวงศ์แฮบสเบอร์ก (The Habsburg dynasty) และต่อมาใช้เป็นที่พำนักของผู้นำประเทศหลายคนในช่วงจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (The Austro-Hungarian Empire) ระหว่างปี ค.ศ. 1867-1918 ปัจจุบันนี้พื้นที่บางส่วนของพระราชวังใช้เป็นที่พำนักและที่ทำงานของประธานาธิบดีออสเตรีย ตัวอาคารสร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13  
The Votive Church (ชื่อภาษาเยอรมันคือ Votivkirche) เป็นโบสถ์สไตร์นีโอโกธิค (Neo-Gothic) จักรพรรดิ์ Archduke Ferdinand Maximilian ได้สร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ปกป้องพี่ชายคือ จักรพรรดิ์ Emperor Franz Joseph จากเหตุการณ์การลอบสังหารในปี ค.ศ. 1853 โดยเงินที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นได้มีการรวบรวมเงินจากทั่วทั้งจักรวรรดิในขณะนั้น
อาคารรัฐสภาของประเทศออสเตรีย ณ กรุงเวียนนา (Austrian Parliament Building)
Karlskirche หรือโบสถ์เซนต์ชาร์ล (St. Charles’s Church) เป็นหนึ่งในหลายโบสถ์แนวบารอค (Baroque) ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดของประเทศออสเตรีย สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบวช Charles Borromeo
ศาลาว่าการกรุงเวียนนา (Wiener Rathaus) สร้างในช่วงปี ค.ศ. 1872-1873 ในสไตร์โกธิคสมัยใหม่ (Neo-Gothic) ออกแบบโดย Friedrich von Schmidt ใช้เป็นที่ทำงานของนายกเทศมนตรี (The Mayor of Vienna) และสภาเทศบาลเมือง (The Chambers of the City Council) และคณะวุฒิสภา (Landtag) แห่งกรุงเวียนนา  
Neue Burg ซึ่งเป็นปีกอาคารด้านหลังของพระราชวังฮอฟเบิร์ก (Hofburg Palace) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมอาวุธและเสื้อเกราะของกษัตริย์ และเครื่องดนตรีโบราณ และภายนอกอาคารใกล้กันนี้ก็มีสวนสาธารณะซึ่งด้านหน้าเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ของโมซาร์ท (Mozart: มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1756-1791) ซึ่งเป็นนักประพันธ์เพลงแนวคลาสสิคที่มีชื่อเสียงระดับโลกของออสเตรีย 
The Pestsäule หรือ Plague Column (ภาษาอังกฤษ) คืออนุสรณ์สถานทางศาสนาคริสต์สไตร์บารอคที่มีรูปหล่อของมารดาพระเยซู (Virgin Mary) อยู่ด้านบนสุด สร้างขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณพระเจ้าสำหรับการสิ้นสุดของการระบาดของกาฬโรค (Plague) ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1679 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนกราเบน (Grabenซึ่งเป็นหนึ่งในถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในใจกลางกรุงเวียนนา
Peterskirche หรือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Church) คือโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิคที่สร้างตามสไตร์บารอค ถ่ายจากถนนกราเบน (Graben)
พระราชวังเชินบรุน (Schönbrunn Palace) หรือในภาษาเยอรมันเรียกว่า Schloss Schönbrunn เป็นพระราชรังฤดูร้อน ของกษัตริย์ออสเตรียในอดีต (Imperial Summer Residence) เป็นพระราชวังที่สร้างตามสไตร์บารอค มีจำนวนห้องมากถึง 1,441 ห้อง เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานด้านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศออสเตรีย เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1950s เป็นต้นมา ภายในพื้นที่ของพระราชวังมีพื้นที่สวนอุทยานขนาดใหญ่มีอายุมากกว่า 300 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮับเบิร์กแต่ละพระองค์
สวนอุทยานในอีกด้านหนึ่งของพระราชวังเชินบรุน จากจุดที่ถ่ายรูปจะสามารถมองเห็นอาคารที่เรียกว่า Gloriette (Gloriette มาจากภาษาฝรั่งเศสคือ gloire หมายถึงห้องเล็กๆ) เป็นพลับพลา (Pavilion หรือ Tempietto) ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ตัวพลับพลาเป็นอาคารที่เปิดด้านข้าง

Next

No comments:

Post a Comment