ทริปนี้จำได้ว่าเป็นทริปแรกเลยที่มีโอกาสเดินทางไกลข้ามทวีปไปฝั่งยุโรปอารมณ์แบบว่าตื่นเต้นพอสมควรเพราะครั้งนี้ผมจะต้องไปนำเสนองานวิจัยแบบปากเปล่า (Oral
presentation) งานประชุมวิชาการ 6th Congress of the EuropeanMalacological
Societies (CEMS) ที่จัดขึ้นที่เมือง Vitoria-Gasteiz ในแคว้นบาสค์ ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 18-22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ก่อนเดินทางก็หาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนี้พอสมควรและได้ยินว่าแคว้นนี้มีปัญหากับสเปนอยู่เนืองๆ
เพราะต้องการแยกเป็นประเทศอิสระเพื่อปกครองตนเองเช่นเดียวกับอีกสองแคว้นของสเปนคือแคว้นกาตาลันและแคว้นอันดาลูเซีย ใจหนึ่งก็กลัวเรื่องความปลอดภัยพอสมควร
ไม่ได้บอกทางบ้านด้วยซ้ำเพราะกลัวเค้าจะเป็นห่วง แต่ก็ภาวนาในใจว่าคงไม่มีอะไรหรอก
และพอเดินทางไปถึงจริงๆ ก็ไม่มีอะไรจริงๆ ปลอดภัยไร้กังวล
ผมจำได้ว่าออกเดินทางไปสเปนเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ด้วยสายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR 615 K เวลาตีสองยี่สิบห้านาที
เครื่องไปถึงกรุงโดฮาเวลาตี 5 เพื่อแวะพักเครื่อง 2 ชั่วโมง และเครื่องบินอีกทีตอน 7 โมงเช้าและเดินทางถึงสนามบิน Madrid-Barajas
Airport เวลาบ่ายโมง 35 นาทีของวันรุ่งขึ้น (วันที่ 17 ก.ค. พ.ศ.
2554) กว่าจะรอรับกระเป๋าและซื้อซิมโทรศัพท์ที่สามารถต่ออินเตอร์เนทได้ก็ปาเข้าไปบ่ายสองครึ่ง
จากนั้นก็ลากกระเป๋าไปต่อรถ Metro ไปยังสถานี Plaza
de Castilla และเดินเท้าอีกนิดหนึ่งไปยังโรงแรม Hotel
Weare Chamartín (จองไว้ก่อนวันเดินทาง) ซึ่งเป็นโรงแรมระดับสี่ดาวราคาไม่แพงมากและที่สำคัญอยู่ติดกับสถานีรถไฟ Madrid
Chamartín Railway Station ซึ่งเป็นสถานีที่จะต้องต่อรถไฟไปยังเมือง Vitoria-Gasteiz
(ที่มาดริดมีสถานีรถไฟหลักอยู่ 2 สถานี อีกสถานีหนึ่งชื่อว่า Madrid Atocha Railway Station)
สถานีรถไฟ Madrid
Chamartín Railway Station หนึ่งในสองสถานีหลักในกรุงมาดริด
สติกเกอร์เพื่อการรณรงค์ประหยัดน้ำมีให้เห็นทั่วไปในห้องน้ำตามโรงแรมต่างๆ
ในกรุงมาดริด
พอเช็คอินที่โรงแรมเสร็จก็หาอะไรกินแถวๆ
สถานนีรถไฟ และซื้อตั๋วรถไฟเที่ยวเช้าเวลาแปดโมงของวันที่ 18 ก.ค. เพราะใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟอีกประมาณ 5 ชั่วโมงไปยังเมือง Vitoria-Gasteiz จำราคาตั๋วรถไฟไม่ได้ว่าประมาณกี่ยูโรแต่คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณพันเจ็ดร้อยบาทเศษๆ
จากนั้นเลยกลับไปพักโรงแรมทันทีเพราะเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร
ก่อนนอนก็ตั้งนาฬิกาปลุกปกติคือหกโมงเช้า
ตื่นมาตอนเช้าอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก็ลงไปทานอาหารเช้าที่โรงแรม เช็คเอ้าท์และรอเวลาขึ้นรถไฟ
เหลือบมองนาฬิกาของเครื่อง Samsung Galaxy เห็นว่ามีเวลาเหลือเฟือเลยเดินเล่นดูโน่นนี่ฆ่าเวลาซะหน่อย
แล้วเดินจะไปขึ้นรถไฟ ปรากฎว่ารถไฟขบวนที่จะนั่งไปมันออกไปได้อีกชั่วโมงแล้ว
ด้วยความตกใจว่าทำไมรถไฟออกก่อนเวลารีบเดินทางถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เจ้าหน้าที่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
และไล่ผมให้ไปที่ Information Center ไปถึงก็ไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่ใหญ่ว่าทำไมรถไฟออกก่อนเวลาฉันซื้อตั๋วเที่ยวนี้แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาออกเลย
เจ้าหน้าที่ทำหน้างงๆ
แล้วชี้ไปที่นาฬิกาที่สถานีบอกว่านี่มันจะเกือบเก้าโมงแล้วคุณ คุณมาสายไปเกือบชั่วโมง
ถึงพออ้อเลยครับ เวรกรรมตอนนี้มันหน้าร้อนที่ยุโรปเค้าปรับเวลาให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมงหรือเปล่า เวรกรรม สมองตื้อไปหมด
ทำไงดีไม่มีทางเลือกขอเค้าซื้อตั๋วใหม่ทันทีเมื่อให้ทันรถไฟเที่ยวถัดไปเพราะขอเปลี่ยนตั๋วก็ไม่ได้
ระหว่างรอขึ้นรถเที่ยวถัดไปก็ไปเจอกันอาจารย์สาวชาวอเมริกันท่านหนึ่งจากรัฐแคลิฟอเนียที่พลาดรถไฟเพื่อไปประชุมยังเมือง Toledo ของสเปนเช่นกันเหตุเพราะเครื่องโทรศัพท์มือถือ iPhone ไม่ได้ปรับเวลาให้อัตโนมัติ เลยดูเวลาผิดไป 1 ชั่วโมง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าเชื่อเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ให้เหลือบดูนาฬิกาซะหน่อยเพราะปกติสถานีขนส่งสาธารณะทุกที่จะมีนาฬิกาบอกเวลาเสมอๆ
ออกเดินทางจากมาดริดประมาณสิบโมงกว่าๆ
ของวันที่ 17 ก.ค. พ.ศ. 2554 เห็นจะได้ ด้วยรถไฟ Renfe Trains ซึ่งเป็นบริษัทรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองหลักๆ
ของสเปน รถไฟที่ค่อนข้างใหม่ สะอาด และสะดวกสบาย
มีปลั๊กไฟให้บริการข้างที่นั่งผู้โดยสารทุกจุด รถไฟเดินทางผ่านเมืองต่างๆ มากมาย
ภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบสูงแล้งแห้งมีไม้พุ่มเตี้ยขึ้นสลับกับพื้นที่เพาะปลูกและสวนมะกอกแซมเป็นระยะๆ
ของมาดริดก็ค่อนเปลี่ยนไปเป็นพื้นสีเขียวชอุ่มและอากาศค่อนข้างเย็นสบาย ชุ่มชื้น (เดือนกรกฎาคมของที่นี่เป็นช่วงฤดูร้อน) โชคดีหน่อยที่มีผู้ร่วมเดินทางคนหนึ่งเป็นคุณลุงท่าทางใจดี
แต่งตัวและพูดจาดีเดินทางมากับภรรยา
พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากเข้าใจว่าแกน่าจะเป็นชาวอังกฤษที่เกษีรณอายุและย้ายมาอาศัยอยู่ที่ประเทศสเปน
ผมชวนแกคุยโน่นคุยนี่ไปเรื่อย แกและครอบครัวลงรถไฟที่สถานีก่อนถึงเมือง Vitoria-Gasteiz
ภูมิประเทศของสเปนระหว่างเดินทางจากมาดริดไปยังเมือง Vitoria-Gasteiz
(ถ่ายเมื่อ 17 ก.ค. พ.ศ. 2554)
รถไฟเดินทางถึงเมือง Vitoria-Gasteiz เมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมง
พอลงจากรถไฟก็พยายามจะหาทางไปยังที่พักซึ่งเป็นหอพักในมหาวิทยาลัย
The Residencia Tomás Alfaro เป็นห้องเดี่ยวมีห้องน้ำและห้องครัวในตัว
ราคาคืนละ 35 ยูโร ยืนมองแผนที่อยู่นานทีเดียวเพื่อเดินทางไปยังที่พัก
ดูจากแผนที่ก็เหมือนจะง่ายแต่เดินจริงๆ ก็หลงเหมือนกันนะ
เลยคิดว่าควรจะถามใครสักแถวนั้นที่มีอายุไม่มากเพราะคิดว่าน่าจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง
ปรากฎไม่มีใครให้ถามสักคน สุดท้ายเลยตัดสินใจเข้าไปถามยายแก่ๆ
คนหนึ่งและยื่นแผนที่ให้ดูเผื่อว่าถ้าแกพูดไม่ได้ก็น่าจะชี้ทางไปที่พักได้
เปล่าเลยพออ้าปากพูดภาษาอังกฤษเท่านั้นแหละแกถึงกับวิ่งหนีและพูด No
No!! พอเข้าไปถามอีกคนที่มีอายุน้อยหน่อยก็เดินหนีเช่นกัน
ด้วยความพยายามครั้งสุดท้ายได้เจอกลุ่มเด็กวัยรุ่นหนุ่ม 3
นายพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแต่ไม่ก็ยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
สุดท้ายเลยเดินพาผมมาส่งยังที่พักซะงั้น
หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อยก็เดินสำรวจเมืองเล็กน้อยเพื่อหาตึกที่จัดการประชุมที่อยู่ไม่ไกลมากนักจากที่พัก
และหาอะไรทานระหว่างทาง เข้าไปสำรวจห้างที่นี่เล็กน้อย
ห้างสรรพสินค้าที่นี่มีสินค้าที่หลากหลายพอสมควร อาหารสดจะมีหลากหลายให้เลือก
เวลาจ่ายตังค์ถ้าสังเกตุว่าทุกคนต้องซื้อถุงพลาสติกที่แคชเชียร์ด้วยไม่ได้ให้ฟรีเหมือนห้างในเมืองไทย
แต่งงว่าไม่ยักกะมีคนนำถุงผ้ามาจ่ายตลาดด้วยจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าถุงพลาสติก
สำรวจที่ทางได้สักพัก ถ่ายรูปนิดหน่อยก็เดินกลับที่พักพร้อมๆ
กับห่อเชอรี่ราคาแสนถูก เพราะหน้าร้อนที่นี่เป็นหน้าเชอรี่
ราคาเลยถูกมากแพ็คละประมาณหนึ่งกิโลราคาแค่ 1 ยูโรกว่าๆ
วันนั้นเลยกินเชอรี่สมใจอยาก ก่อนอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนตอนประมาณสี่ทุ่ม
นอนลำบากมากมากเพราะช่วงหน้าร้อนเวลาสี่ทุ่มของที่นี่ยังสว่างอยูเลย
กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้วตื่นอีกทีก็หกโมงเช้า
บรรดาผู้สูงอายุที่นี่ชอบเล่นเปตอง
จากภาพถ่ายเมื่อเวลาประมาณบ่ายสี่โมงในส่วนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้กับที่พัก
รถรางไฟฟ้า Funicular ที่วิ่งให้บริการภายในเมือง Vitoria-Gasteiz
ถนนหนทาง อาคารบ้านเรือน
และพื้นที่โดยทั่วไปค่อนข้างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน
บรรยากาศงานประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี
ต้องขอขอบคุณ ดร. เบนจามิน โกเมซ-โมลิเนอร์ (Dr.
Benjamín Gómez-Moliner) และคณะผู้จัดงานจากมหาวิทยาลัยบาสค์ (The University of the Basque Country:
UPV/EHU) แม้ว่าจะไม่ใช่งานประชุมที่ใหญ่มากนักคือมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 200 กว่าคน แต่การจัดงานก็ได้รับคำชมมากมายจากผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศในยุโรป
การประชุมนี้เป็นการประชุมทุกๆ สองปี การประชุมครั้งต่อไปมีกำหนดการจะจัดขึ้นในปี
พ.ศ. 2556 ที่หมู่เกาะ Azores หมู่เกาะในทะเลแอตแลนติกเหนือซึ่งอยู่ในการปกครองของประเทศโปรตุเกส
การประชุมครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับงานเทคนิคงานวิจัยใหม่ๆ
และได้รู้จักเพื่อนนักวิจัยด้านสังขะวิทยาจำนวนมาก
ที่สำคัญได้พบกับนักวิจัยชาวตุรกีที่เคยเจอกันก่อนหน้านั้นที่งานประชุมวิชาการสังขะวิทยาที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อ
1 ปีที่แล้วคือปี พ.ศ. 2553 อาจารย์ท่านนี้ชื่อมาเรียเป็นอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองอันตาเลีย
(Antalya) ประเทศตุรกี
ที่ประทับใจก็คือแกยังจำผมได้ดีเพราะผมช่วยบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่เมืองไทยเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
แถมตอนท้ายแกบอกว่าถ้ามีโอกาสไปเที่ยวตุรกีอย่าลืมแวะไปทักทายแกได้มีมหาวิทยาลัย
:)
วันเปิดการประชุมวันแรก วันที่
18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ดร. อัลดริดจ์ (Dr.
David Aldridge) จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ประเทศอังกฤษหนึ่งใน Invited
Speakers ที่มาบรรยายพิเศษในหัวข้อเกี่ยวกับการจัดการและควบคุมจำนวนประชากรของหอยสองฝาต่างถิ่นโดยใช้กระสุนชีวภาพ (biobullet) กรณีศึกษาประเทศอังกฤษ
ผมขึ้นนำเสนองานวิจัย
(ในวันที่ 21 ก.ค. พ.ศ. 2554) เกี่ยวกับการควบคุมจำนวนประชากรของหอยเชอรี่ (Pomacea canaliculata) ในนาข้าวด้วยศัตรูธรรมชาติอย่างเช่นนกปากห่าง (Anastomus oscitans) ในเขตภาคกลางของประเทศไทย
ถ่ายรูปคู่กับอาจารย์ชาวตุรกี
เราเคยเจอกันเมื่อปีที่แล้วที่งานประชุมวิชาการ World
Congress of Malacology 2010 ระหว่างวันที่ 18-24 กรกฎาคม
พ.ศ. 2553 ที่จังหวัดภูเก็ต
ประชุมวิชาการ
ณ เมืองบิโตเรีย-แกสไตซ์ (ตอนที่ 2)
No comments:
Post a Comment