Monday, August 29, 2016

เมืองบูดาเปสต์ (Budapest): เมืองหลวงประเทศฮังการี (25 June 2013)


บูดาเปสต์ (Budapest) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฮังการีและเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป (The European Union: EU) เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง วัฒนธรรม การค้า อุตสาหกรรมและศูนย์การขนส่งของประเทศฮังการี จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2011 พบว่าในบูดาเปสต์มีประชากรอาศัยอยู่ราว 1,740,000 คน ซึ่งมีจำนวนลดลงมาจากปี ค.ศ. 1989 ที่มีจำนวนสูงถึง 2.1 ล้านคน เนื่องจากมีการขยายพื้นที่เมืองไปยังบริเวณโดยรอบ แต่ถ้าพิจารณาจำนวนประชากรทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปริมณฑลแล้วจะมีจำนวนประชากรมากถึง 3.3 ล้านคน เมืองบูดาเปสต์มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 525 ตารางกิโลเมตรหรือราว 203 ตารางไมล์ ครอบครองพื้นที่ 2 ฝั่งของแม่น้ำดานูบ โดยเมืองบูดาเปสต์เกิดจากการรวมตัวกันของ 3 เมืองคือเมืองบูดา (Buda) และโอบูดา (Óbuda) ทางฝั่งตะวันตกกับเมืองเปสต์ (Pest) ทางฝั่งตะวันออกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1873

ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาของบูดาเปสต์เริ่มต้นจากการตั้งถิ่นฐานของชาวเซลติก (Celtic settlement) ที่บริเวณเมืองโบราณที่เรียกว่า Aquincum ที่ต่อมากลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตอนล่างที่เรียกว่า LowerPannonia ต่อมาชาวได้มีชาวฮังการีได้เข้ามาครอบครองในดินแดนแห่งนี้ในช่วงศตวรรษที่ 9 ก่อนที่เมืองจะถูกรุกรานและครอบครองโดยชาวมองโกล (TheMongols) ทางฝั่งตะวันออกในช่วงปี ค.ศ. 1241-1242 เมืองใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาวัฒนธรรมมนุษยนิยม (Renaissance humanist culture) ในศตวรรษที่ 15 ต่อมาไม่นานก็ได้เกิดสงครามโมแฮคส์ (The Battle of Mohács) เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสงครามการสู้รบระหว่างชาวฮังการีและชาวออตโตมัน (Ottoman) ทำให้เมืองแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองโดยชาวออตโตมันเกือบ 150 ปี
ในช่วงศตวรรษที่
18 และ 19 บูดาเปสต์เป็นเมืองศูนย์กลางของเหตุการณ์สำคัญๆ หลายครั้งเช่น เป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของจักรวรรดิ์ออสเตรีย-ฮังการี (TheAustro-Hungarian Empire) อันยิ่งใหญ่ก่อนที่อาณาจักรจะล่มละลายในปี ค.ศ. 1918 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์การปฏิวัติฮังการี (The Hungarian Revolution) ในปี ค.ศ. 1848 เป็นที่ตั้งของสภาเทศบาลสาธารณรัฐฮังการีในปี ค.ศ. 1919 เป็นศูนย์กลางของสงครามบูดาเปสต์ (TheBattle of Budapest) ในปี ค.ศ. 1945 และเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติ (The Revolution of 1956) ในปี ค.ศ. 1956 เป็นต้น

ความสำคัญในด้านอื่นๆ ของเมืองบูดาเปสต์
บูดาเปสต์เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของยุโรปเพราะสองฝั่งแม่น้ำดานูป (The Danube) เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญที่เป็นพื้นที่มรดกโลก (World Heritage Site) หลายแห่ง เช่นพระราชวังของกษัตริย์ฮังการี (The Buda Castle Quarter) ถนนแอนเดรสซี (Andrássy Avenue) จัตุรัสวีรบุรุษ (Heroes’ Square) และรถไฟใต้ดินมิลเลนเนียม (The Millennium Underground Railway) ที่เป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของโลก (รถไฟใต้ดินที่นี่อยู่ลึกจากระดับพื้นดินมาก)

ข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ เกียวกับกรุงบูดาเปสต์
-เป็นแหล่งของน้ำพุร้อนจากความร้อนใต้พิภพจำนวนมากกว่า 80 แห่ง
-ระบบถ้ำน้ำร้อนใต้พิภพที่ใหญ่ที่สุดในโลก (The world’s largest thermal water cave system)
-โบสถ์ยิว (Synagogue) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
-อาคารรัฐสภา (Hungarian Parliament Building) ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก 
-เมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากถึง 4.4 ล้านคนต่อปี ทำให้บูดาเปสต์เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 25 ของโลก และอันดับที่ 6 ของทวีปยุโรปของข้อมูลของ Euromonitor
-เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินในยุโรปกลาง (Central Europe)เพราะได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอันดับสามของดัชนีตลาดเกิดใหม่ของมาสเตอร์การ์ด (Mastercard’s Emerging Markets Index) และอันดับที่สองของเมืองน่าอยู่ที่สุดในยุโรปกลางหรือภาคตะวันออกตามดัชนีคุณภาพชีวิตของ EIU (EIU’s quality of life index)
-เป็นเมืองที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของโลก (The world’s second best city) โดยการจัดอันดับของนิตยสารท่องเที่ยว Condé Nast Traveler ของอเมริกา
-เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของยุโรป (Europe’s 7th most idyllic place to live) โดยนิตยสารฟอร์บ (Forbes) ของอเมริกา
-เป็นเมืองแห่งนวัตกรรมอันดับสูงที่สุดของยุโรปกลางและตะวันออก (Central/Eastern European city on Innovation Cities' Top 100 index)
-เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งยุโรป (The European Institute of Innovation and Technology: EIT)
-เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยตำรวจแห่งยุโรป (The European Police College: CEPOL)
-เป็นที่ตั้งของสำนักงานต่างประเทศแห่งแรกของหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศจีน (The China Investment Promotion Agency: CIPA)
-เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่สำคัญจำนวน 18 แห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยยุโรปกลาง (The Central European University) มหาวิทยาลัยเอิทเวิสลอรานด์ (Eötvös Loránd University) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและเศรษฐศาสตร์แห่งบูดาเปสต์ (The BudapestUniversity of Technology and Economics) เป็นต้น
ที่มา: Budapest



Tuesday, August 23, 2016

กรุงเวียนนา (Vienna) เมืองแห่งดนตรีและความฝัน (The City of Music and Dreams) (20-21 June 2013)



เวียนนา (Vienna = ภาษาอังกฤษ) หรือเวียน (Wien = ภาษาเยอรมัน) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรีย และเวียนนายังมีฐานะเป็นรัฐ 1 รัฐจากทั้งหมด 9 รัฐ (States) ของออสเตรีย มีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองราว 1.8 ล้านคน หรืออาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ปริมณฑล (Metropolitan Area) ราว 2.6 ล้านคน (ข้อมูลปี ค.. 2008) ซึ่งคิดเป็นจำนวนเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ เวียนนาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของออสเตรีย เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 7 ของสหภาพยุโรปหรืออียู (The European Union: EU) เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 กรุงเวียนนาเป็นเมืองที่มีคนพูดภาษาเยอรมันมากที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นเมืองที่มีคนพูดภาษาเยอรมันมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเบอลินของประเทศเยอรมัน เวียนนาเป็นที่ตั้งของหน่อยงานระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่งเช่น องค์การสหประชาชาติ (The United Nations) และโอเปก (OPEC) เป็นต้น

ตำแหน่งที่ตั้ง
รัฐเวียนนาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศออสเตรียใกล้กับชายแดนของประเทศสาธารณรัฐเช็ก (The Czech Republic) สโลวาเกีย (Slovakia) และฮังการี (Hungary) พื้นที่ชายแดนที่ติดต่อกันใน 4 ประเทศนี้รวมเรียกว่า European Centrope border region ซึ่งเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหภาพยุโรปหรืออียู หากคิดรวมจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเมืองบราติสลาวา (Bratislava) เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกียแล้ว จะทำให้กรุงเวียนกลายเป็นเขตปริมณฑล (Cosmopolitan Area) ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 3 ล้านคนเลยทีเดียว

ชื่อเสียงของกรุงเวียนนา
ใจกลางกรุงเวียนนาซึ่งเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 กรุงเวียนนานอกจากจะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านดนตรี (The City of Music) แล้วเมืองหลวงแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ว่าเป็นเมืองแห่งความฝัน (The City of Dreams) เพราะเป็นบ้านเกิดของจิตแพทย์ชื่อเสียงก้องโลกนามว่าซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้ซึ่งได้นำวิธีการสะกดจิตมาใช้รักษาคนไข้ทางจิต

ประวัติศาสตร์
ชาวเซลติก (Celtic) และชาวโรมัน (Roman) เป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของกรุงเวียนนา ณ ปัจจุบัน เมืองได้พัฒนาและเจริญก้าวหน้าเข้าสู่ยุคกลาง (Medieval) ในช่วงศตวรรษที่ 5 ถึง 15 และยุคบารอค (Baroque) ในช่วงศตวรรษที่ 16 จากนั้นเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (The Austro-Hungarian Empire) ในช่วงปี ค.ศ. 1867-1918 กรุงเวียนนามีบทบาทสำคัญในแง่เป็นศูนย์กลางของการดนตรีของยุโรปตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของดนตรีคลาสสิคตามแบบฉบับเวียนนา (The great age of Viennese Classicism) จนถึงช่วงแรกของศตวรรษที่ 20 ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเวียนนามีรูปภาพสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นงดงาม ไม่ว่าจะเป็นปราสาทแนวบารอค การจัดสวนแบบบารอค ถนนวงแหวนแห่งปลายศตวรรษที่ 19 (The late-19th-century Ringstraße) ที่มีอาคารที่ดูโอ่โถงเรียงรายสองข้างทาง อนุเสาวรีย์ และสวนสาธารณะต่างๆ เป็นต้น

ข้อมูลอื่นๆ ของเวียนนา
-จากการสำรวจ 127 เมืองใหญ่จากทั่วโลกในปี ค.ศ. 2005 โดย The Economist Intelligence Unit จัดให้เมืองเวียนนาเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด (The world's most livable cities) อันดับหนึ่งของโลกร่วมกับเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ของประเทศแคนาดาและเมืองซานฟรานซิสโก (San Francisco) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
-ปี ค.ศ. 2011-2015 เวียนนาได้ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับ 2 ของโลกรองจากเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) ของออสเตรเลีย
-จากปี ค.ศ. 2009-2015 เจ็ดปีติดต่อกัน เมืองเวียนนาได้รับการจัดอันดับจาก Mercer ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ได้อยู่ในอันดับหนึ่งของโลกเกี่ยวกับคุณภาพการใช้ชีวิตประจำปี "Quality of Living" survey จากการสอบถามจากคนทั่วโลกจำนวนหลายร้อยคน
-จากข้อมูลของ Monocle's 2015 เกี่ยวกับคุณภาพการใช้ชีวิต (Quality of Life Survey) จัดอันดับให้เวียนนาเป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับสองของโลกจากจำนวน 25 เมืองยอดนิยมทั่วโลกรองจากกรุงโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น
-ข้อมูลของ The UN-Habitat ได้จัดอันดับกรุงเวียนนาเป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดของโลก (The most prosperous city in the world) ในปี ค.ศ. 2012/2013
-กรุงเวียนนาได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับ 1 ในปี ค.ศ. 2007 และ 2008 และอันดับ 6 ในปี ค.ศ. 2014 ของโลกสำหรับเมืองแห่งนวัตกรรม (จากจำนวน 256 เมืองทั่วโลก) โดยใช้ตัวชี้วัดจำนวน 162 ตัวชี้วัดครอบคลุม 3 ด้าน คือ ด้านวัฒนธรรม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และด้านการตลาด
-กรุงเวียนนาได้ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมเกี่ยวกับการวางแผนผังเมืองและถูกใช้เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการวางแผนผังเมืองจำนวนหลายครั้ง
-กรุงเวียนน่าเป็นเมืองยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกสำหรับการจัดการประชุมระดับนานาชาติระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2010 และในแต่ละปีสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 3.7 ล้านคน

ที่มา: Vienna
แวะเยี่ยมเพื่อนเก่าที่เมืองเวียนนา (อาลีและเปิ้ล) จำได้ว่าล่าสุดที่เจอกันคือตอนอยู่ที่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนตอนงานรับปริญญาเมื่อปี ค.ศ. 2007
(ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ค.ศ. 2013)
The Kunsthistorisches Museum หรือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ (Museum of Art History หรือ Museum of Fine Arts) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรีย อาคารตรงกลางมีหลังคาโดมรูปแปดเหลี่ยม (Octagonal dome) และอาคารที่ตั้งอยู่ตรงข้ามคือพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ณ กรุงเวียนนา (The Vienna Museum of Natural History หรือที่ในภาษาเยอรมันเรียกว่า Naturhistorisches Museum Wien) หรือที่อักษรย่อคือ The NHMW โดยทั้งสองอาคารมีจัตุรัส Maria-Theresien-Platz ขั้นอยู่ตรงกลาง 
พระราชวังฮอฟเบอร์ก (Hofburg Palace) ในอดีตใช้เป็นที่ประทับฤดูหนาวของกษัตริย์แห่งราชวงศ์แฮบสเบอร์ก (The Habsburg dynasty) และต่อมาใช้เป็นที่พำนักของผู้นำประเทศหลายคนในช่วงจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (The Austro-Hungarian Empire) ระหว่างปี ค.ศ. 1867-1918 ปัจจุบันนี้พื้นที่บางส่วนของพระราชวังใช้เป็นที่พำนักและที่ทำงานของประธานาธิบดีออสเตรีย ตัวอาคารสร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13  
The Votive Church (ชื่อภาษาเยอรมันคือ Votivkirche) เป็นโบสถ์สไตร์นีโอโกธิค (Neo-Gothic) จักรพรรดิ์ Archduke Ferdinand Maximilian ได้สร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ปกป้องพี่ชายคือ จักรพรรดิ์ Emperor Franz Joseph จากเหตุการณ์การลอบสังหารในปี ค.ศ. 1853 โดยเงินที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นได้มีการรวบรวมเงินจากทั่วทั้งจักรวรรดิในขณะนั้น
อาคารรัฐสภาของประเทศออสเตรีย ณ กรุงเวียนนา (Austrian Parliament Building)
Karlskirche หรือโบสถ์เซนต์ชาร์ล (St. Charles’s Church) เป็นหนึ่งในหลายโบสถ์แนวบารอค (Baroque) ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดของประเทศออสเตรีย สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบวช Charles Borromeo
ศาลาว่าการกรุงเวียนนา (Wiener Rathaus) สร้างในช่วงปี ค.ศ. 1872-1873 ในสไตร์โกธิคสมัยใหม่ (Neo-Gothic) ออกแบบโดย Friedrich von Schmidt ใช้เป็นที่ทำงานของนายกเทศมนตรี (The Mayor of Vienna) และสภาเทศบาลเมือง (The Chambers of the City Council) และคณะวุฒิสภา (Landtag) แห่งกรุงเวียนนา  
Neue Burg ซึ่งเป็นปีกอาคารด้านหลังของพระราชวังฮอฟเบิร์ก (Hofburg Palace) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมอาวุธและเสื้อเกราะของกษัตริย์ และเครื่องดนตรีโบราณ และภายนอกอาคารใกล้กันนี้ก็มีสวนสาธารณะซึ่งด้านหน้าเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ของโมซาร์ท (Mozart: มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1756-1791) ซึ่งเป็นนักประพันธ์เพลงแนวคลาสสิคที่มีชื่อเสียงระดับโลกของออสเตรีย 
The Pestsäule หรือ Plague Column (ภาษาอังกฤษ) คืออนุสรณ์สถานทางศาสนาคริสต์สไตร์บารอคที่มีรูปหล่อของมารดาพระเยซู (Virgin Mary) อยู่ด้านบนสุด สร้างขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณพระเจ้าสำหรับการสิ้นสุดของการระบาดของกาฬโรค (Plague) ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1679 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนกราเบน (Grabenซึ่งเป็นหนึ่งในถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในใจกลางกรุงเวียนนา
Peterskirche หรือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Church) คือโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิคที่สร้างตามสไตร์บารอค ถ่ายจากถนนกราเบน (Graben)
พระราชวังเชินบรุน (Schönbrunn Palace) หรือในภาษาเยอรมันเรียกว่า Schloss Schönbrunn เป็นพระราชรังฤดูร้อน ของกษัตริย์ออสเตรียในอดีต (Imperial Summer Residence) เป็นพระราชวังที่สร้างตามสไตร์บารอค มีจำนวนห้องมากถึง 1,441 ห้อง เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานด้านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศออสเตรีย เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1950s เป็นต้นมา ภายในพื้นที่ของพระราชวังมีพื้นที่สวนอุทยานขนาดใหญ่มีอายุมากกว่า 300 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮับเบิร์กแต่ละพระองค์
สวนอุทยานในอีกด้านหนึ่งของพระราชวังเชินบรุน จากจุดที่ถ่ายรูปจะสามารถมองเห็นอาคารที่เรียกว่า Gloriette (Gloriette มาจากภาษาฝรั่งเศสคือ gloire หมายถึงห้องเล็กๆ) เป็นพลับพลา (Pavilion หรือ Tempietto) ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ตัวพลับพลาเป็นอาคารที่เปิดด้านข้าง

Next

Monday, August 22, 2016

เมืองปอมเปอี: เมืองที่ล่มสลายจากภูเขไฟระเบิด

ภูเขาไฟวีซูเวียส (Mt. Vesuvius) ที่มองเห็นจากเมืองปอมเปอีที่ถูกทำลายจากการระเบิดของมันเมื่อปี ค.ศ. 79

ปอมเปอี (Pompeii) เป็นเมืองโรมันโบราณใกล้กับเมืองเนเปิลส์ (Naples) ของอิตาลีในปัจจุบัน ตั้งอยู่แคว้น Campania ซึ่งเป็น 1 ใน 20 แคว้นของอิตาลี (เมืองหลวงของแคว้นคือเมืองเนเปิลส์) ในอดีตสมัยยุคโรมันเมืองปอมเปอี เมืองเฮอคูลาเนียม (Herculaneum) และพื้นที่โดยรอบได้ถูกทำลายสร้างและถูกฝังอยู่ภายใต้เถ้าถ่านสูงถึง 6 เมตรที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟวีซูเวียส (Mount Vesuvius) เมื่อปี ค.ศ. 79

นักวิจัยหลายคนเชื่อว่าเมืองแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อ 6 หรือ 7 ร้อยปีก่อนคริสต์ศักราชโดยชาว Osci หรือ Oscans อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงโรมเมื่อ 4 ร้อยปีก่อนคริสต์ศักราช และถูกยึดครองและกลายเป็นอาณานิคมของชาวโรมันเมื่อ 80 ปีก่อนคริสตกาลหลังจากที่เข้าร่วมกับกลุ่มก่อจลาจลเพื่อต่อต้านสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนการปะทุของภูเขาไฟวีซูเวียสในอีก 160 ปีต่อมา มีหลักฐานว่าเมืองปอมเปอีมีประชากรอาศัยอยู่ราว 11,000 คน เมืองแห่งนี้ได้ถูกพัฒนาอย่างมาก มีระบบส่งน้ำที่ซับซ้อน (Complex water system) มีการก่อสร้างอัฒจันทร์ (Amphitheatreโรงเรียน (Gymnasiumและท่าเรือ (Portเป็นต้น การประทุของภูเขาไฟในครั้งนั้นได้ ได้คร่าชีวิตคนที่อาศัยอยู่ในเมืองปอมเปอี และเมืองใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก และศพที่เสียชีวิตได้ถูกฝังใต้เถ้าถ่านของภูเขาไฟ

หลักฐานเกี่ยวกับการทำลายล้างครั้งนั้นได้มาจากการบันทึกของผู้ที่รอดชีวิตที่ชื่อว่า Pliny the Younger จากบันทึกเค้าได้เล่าว่าเห็นการประทุของภูเขาไฟจากระยะไกล และได้เห็นการชีวิตของลุงของเค้าคือ Pliny the Elder (ซึ่งเป็นพลเรือเอกของกองทัพโรมันในขณะนั้น) จากการที่พยายามช่วยชีวิตชาวเมืองจากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด พื้นที่ประสบภัยพิบัตินี้ได้หายสาปสูญไปประมาณ 1,500 ปี จนกระทั่งได้มีการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1599 และมีการค้นพบเพิ่มเติมในอีก 150 ปี ต่อมาโดยวิศกรชาวสเปนที่ชื่อ Rocque Joaquin de Alcubierre ในปี ค.ศ. 1748

วัตถุต่างๆ ที่อยู่ใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟยังอยู่ในสภาพเหมือนเดิมแม้เวลาจะผ่านมานานหลายศตวรรษเนื่องจากไม่มีออกซิเจนและความชื้น สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีการค้นพบทำให้เรา ได้ความเข้าใจเรื่องราวและวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี ในระหว่างการขุดค้นปูนพลาสเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการหล่อแทนที่ในช่องว่างในชั้นเถ้าถ่านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นร่างกายมนุษย์ เผยให้เห็นสภาพที่แท้จริงของบุคคลในช่วงเวลาที่เสียชีวิต ณ ขณะนั้น เมืองปอมเปอีถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมานานมากกว่า 250 ปี และถือได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี โดยในปีหนึ่งๆ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวประมาณ 2.5 ล้านคน เมืองปอมเปอีได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก (World Heritage Siteจากองค์การยูเนสโก (UNESCOตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา

ที่มา: Pompeii